Thai Synergy Group
หน้าแรก
NEWS
ความรู้เกี่ยวกับความเสื่อม
HEALTH
อาหารเสริม
FIBER
FISH OIL
CANCER1
CANCER2
ELDER
 
 
 
 
 
 
 
 
ติดต่อเรา

บทความเกี่ยวกับโรค และ อาหารเสริมต่างๆ

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับความเสื่อม, โรคเสื่อม
 
คำถาม: โรคเสื่อมและความเสื่อม (แก่) เกิดจากอะไร?
คำตอบ: มี 4 สาเหตุหลัก
  1. เมื่อมนุษย์อายุเกิน 20 ปี นาฬิกาชีวิต (Telomere) ภายใน DNA ของเซลล์ทั่วร่างกาย จะปรับเปลี่ยนรหัสคำสั่ง ไปยังต่อมใต้สมอง พิทูอิทารี่ ให้หลั่งโกรทฮอร์โมน Growth Hormone ลดลง
  2. Growth Hormone คือ ฮอร์โมนหลัก (แม่ทัพ) ภายในร่างกาย เมื่อลดลง จะทำให้ประสิทธิภาพของทุกระบบภายใน ร่างกายทำงานลดลง (มนุษย์เริ่มแก่หลังจากอายุ 20 ปี)
  3. โภชนาการที่มนุษย์ในปัจจุบันบริโภคเข้าไปไม่ครบถ้วนไม่พอเพียง ต่อความจำเป็นของร่างกายและมีบางรายการที่เกิน ความต้องการของร่างกาย
  4. อนุมูลอิสระจำนวนมาก Free Radicals จากภายนอก และจากภายในร่างกาย ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย
เกร็ดความรู้เรื่องโกรทฮอร์โมน
โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) คือ ฮอร์โมนหลักที่ผลิตจากต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) ทำหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโต และการทำงานของอวัยวะทุกส่วน ของร่างกาย การสร้างเซลล์ใหม่, การทำงานของระบบสมอง และการทำงานของเอนไซม์ ระดับของโกรทฮอร์โมน จะลดต่ำลงเมื่อ อายุมากขึ้น คือจะลดลง 14% ทุก 10 ปี มีผลทำให้เกิดการแก่ชรา และโรคต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับความชรา มีผลต่อการลดลงของสมรรถนะ และการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการเพิ่มโกรทฮอร์โมน
เป็นหนทางการเพิ่มความอ่อนเยาว์ และคืนความกระชุ่มกระชวย ให้กับร่างกาย
ผลของโกรทฮอร์โมน
ต่อต้านความชรา
นายแพทย์ Ronald klatz ประธาน The American
Academy of Anti-Aging Medicine ผู้แต่งหนังสือชื่อ
"Grow Young with HGH" ระบุในหนังสือว่า "ปัจจุบันเราสามารถทำให้คนหนุ่มหรือ สาวขึ้นได้ถึง 10-20 ปี ในอดีตความแก่ชราถือว่าเป็น สัจธรรมของชีวิต คือ ทุกคนต้องแก่ แต่ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ การแพทย์ถือว่า ความแก่เป็นโรคชนิดหนึ่งที่ สามารถรักษาได้" โกรทฮอร์โมนถือเป็นปัจจัยที่
สำคัญที่ทำให้ชีวิตยืนยาว
นายแพทย์ Edmund Chein กล่าวว่าโกรทฮอร์โมน
เป็นสารฮอร์โมนชนิดเดียวที่สามารถชะลอความชราภาพ
ได้อย่างเป็นรูปธรรม
โกรทฮอร์โมน ทำงานอย่างไร?
Dr. Grace Wong กล่าวว่า เมื่อเราอายุมากขึ้นระดับ
ของโกรทฮอร์โมนจะลดลง 14% ในทุกๆ 10 ปี ทำให้การ
สร้างเอนไซม์โปรทีเอส อินฮิบิเตอร์ (Protease Inhibitor) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ช่วยปกป้องไม่ให้โปรตีนในร่างกาย เราถูกทำลายและเกิดอนุมูลอิสระ (Free Radicals) เพิ่มมากขึ้นดังนั้นหากโปรตีนในเซลล์ถูกทำลาย ในระดับผิวเซลล์จะก่อให้เกิดผนังเซลล์เหี่ยวย่น ผิวหนังจะเหี่ยวย่น และถ้าเซลล์ถูกทำลายในระดับนิวเคลียสจะทำให้เกิดโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ
อุดตัน โรคเบาหวาน โรคความจำเสื่อม โรคกระดูกพรุน เป็นต้น
 
กรอบความคิดสำคัญระหว่าง อาหาร : สุขภาพ
 
I. ตามกฎแห่งวิทยาศาสตร์ สุขภาพ
ร่างกายมนุษย์จะเป็น ปกติ เมื่อพลังงานที่รับเข้าไปต้อง = พลังงานที่ร่างกายต้องการ
Energy Intake = Energy Output
ท่านทราบไหมว่า ร่างกายมนุษย์สามารถ เผาผลาญน้ำตาลฟรุคโคส
ได้เพียงวันละ 8 กรัม (1 ช้อนชาพูน) เท่านั้น หรือเผาผลาญน้ำตาลซูโครส (น้ำตาลทราย) ได้เพียงวันละ 16 กรัม เท่านั้น
ดังนั้นหากท่านทานอาหาร, เครื่องดื่มในแต่ละวัน ที่มีน้ำตาลฟรุคโตส มากกว่า 8 กรัม หรือ ซูโครส (น้ำตาลทราย) มากกว่า 16 กรัม (2 ช้อนชาพูน) อะไรจะเกิดขึ้น ?
น้ำตาลส่วนเกินในกระแสเลือด จะถูกแปรสภาพไปเป็น ไตรกลีเชอไรด์ (Triglycerides) ซึ่งเป็นไขมันส่วนเกิน ไปพอกและเกาะตัวตาม ผนังภายในหลอดเลือด
II. ตามกฎแห่งวิทยาศาสตร์ชีวะเคมี
ขบวนการที่เกิดขึ้นภายในแต่ละเซลล์ของร่างกายล้วนประกอบด้วย 3 ขั้นตอน
Input (วัตถุดิบ) -> Process (ย่อย,ดูดซึม,เผาผลาญ,ขนส่ง) -> Output (พลังงานสำหรับเซลล์)

2.1 เมื่อร่างกายเริ่มเสื่อมลง อันเนื่องจากอายุ หรือ ภยันตรายจาก “อนุมูลอิสระ” ขบวนการย่อย, ดูดซึม, เผาผลาญ, ขนส่ง (Process) จะหย่อนสมรรถภาพลงทำให้พลังงานสำหรับ เซลล์ทั่วร่างกาย (Output) ได้รับไม่เพียงพอ (ก่อให้เกิด ความเสื่อม) และมีขยะพิษตกค้างในร่างกาย (ก่อให้เกิด ภูมิต้านทาน อ่อนแอ และโรคเสื่อมต่างๆ ติดตามมา)

2.2 ไขมันเป็นอาหารที่ร่างกายต้องใช้ ออกซิเจน O2 เป็นเชื้อเพลิงในการเผาผลาญ (เรียกขบวนการนี้ว่า อ๊อกซิเดชั่น Oxidation) ปริมาณมาก และทุกครั้งที่ เกิดขบวนการ Oxidation จะเกิดอนุมูลอิสระออกซิเจนมาก ทำให้เป็นโทษภัย ต่อร่างกาย กล่าวอีกอย่างคือ ไขมันเป็นอาหารที่ก่อให้เกิด อนุมูลอิสระภายในร่างกายได้มากที่สุด

 
III. ตามศาสตร์แห่งโภชนาการ
You Are What You Eat
กินอะไร ร่างกายก็จะเป็นอย่างนั้น
ดังนั้น กินน้ำตาลมาก ร่างกายก็จะมีไขมันมาก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น กินอาหารที่เกิดขยะตกค้างในร่างกาย สุขภาพก็กลายเป็นขยะ
 
บริโภคอาหารไม่ครบหมู่ , ได้แร่ธาตุและวิตามินไม่พอเพียง
 
ที่มาของโรคเสื่อม
เช่น โรคหัวใจ และหลอดเลือด, มะเร็ง, เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, ไขข้ออักเสบ, สมองเสื่อม, ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ, ภูมิแพ้, พาร์คินสัน, ต้อกระจก, แก่ก่อนวัย, ริ้วรอยเหี่ยวย่น
  • บริโภคไขมันมากเกินไป
    (ขบวนการเผาผลาญไขมันต้องใช้ออกซิเจน O2 เป็น
    เชื้อเพลิง ทำให้เกิดปฏิกิริยา ออกซิเดชั่น Oxidation
    หากมีมากเกินไป จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระจำนวนมาก)
  • บริโภคอาหารที่ผ่านการทอดด้วยน้ำมันเดือดๆ เช่น ปาทองโก๋, มันฝรั่งทอด, ขาหมูทอด (ความร้อนสูง
    ทำให้ ไขมันภายในน้ำมันกลายสภาพ เป็น อนุมูลอิสระ)
  • ดื่มน้ำน้อย, ทานชา-กาแฟมากเกินไป
    (ทำให้ร่างกายยิ่งสูญเสียน้ำ)
  • ระบบการขับถ่ายเสื่อมถอย
    ทำให้เกิดพิษสะสมภายใน ลำไส้,ตับ,ไต
  • ระบบการเผาผลาญอาหารทั้ง 3 หมวด
    (คาร์โบไฮเดรต, โปรตีน, ไขมัน) ลดลง
    (50% ของไขมันส่วนเกินจะสะสมภายในชั้นใต้ผิวหนัง
    และอีก 50% จะสะสมภายในหลอดเลือด
    และอวัยวะสำคัญภายในร่างกาย)
  • บริโภคน้ำตาลมากเกินไป
    (ทำให้เกิดไขมันสะสมภายในร่างกาย)
  • บริโภคอาหารที่ไม่มีเส้นใย, ไม่มีกาก
    (ทำให้เหลือสารพิษตกค้างในลำไส้ใหญ่)
  • บริโภคอาหาร เครื่องดื่ม ที่ปนเปื้อน ด้วย ยาฆ่าแมลง, ยาปราบวัชพืช, ปุ๋ยเคมี (ทำให้มีสารพิษเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว
    และอวัยวะภายในร่างกาย)
  • ดื่มแอลกอฮอล์, สูบบุหรี่
    (ทำให้มีพิษต่อตับ, ปอด, หลอดเลือด)
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • ความเครียด
  • ระบบการย่อย - ดูดซึมอาหารลดลง
    (ร่างกายได้รับสารอาหารบางตัวลดลง การดูดซึมของแร่ธาตุ เช่น แคลเซี่ยม ภายใน
    ลำไส้ลดลง)
  • ร่างกายเมื่ออายุเกิน 20 ปี
    จะมีการสร้างโกรทฮอร์โมนลดลง มีผลให้
    ระบบฮอร์โมนอื่นๆ, ระบบเอ็นไซม์, ระบบ
    ต่างๆ ทั่วร่ายกายทำงานลดลง

 

เวบผู้ผลิตผลิตภัณฑ์
เวบของSynergy World Wide
@2003 Thai Synergy Group
All Rights Reserved
more detail please call 06-7085280 PUI